ท่าเรือแหลมฉบังเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย มุ่งสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำระดับโลก

0
332
เรือโทยุทธนา โมกขาว
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง

ท่าเรือแหลมฉบังถือเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักที่มีความสำคัญของประเทศไทย เนื่องจากเป็นเกตเวย์การขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ และเป็นส่วนสำคัญของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อีกทั้งยังมีความสามารถในการรองรับสินค้าถึง 11 ล้านทีอียูต่อปี และมีโครงข่ายหลังท่าเชื่อมต่อการขนส่งทางทะเลเข้ากับการขนส่งทางบกและทางราง ซึ่งช่วยในการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ และประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจและความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ขีดความสามารถในการรองรับสินค้าเดิมก็ไม่เพียงพออีกต่อไป ท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเล็งเห็นในจุดนี้ จึงเริ่มต้นการพัฒนาตามโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โดยปัจจุบันดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยเรือโท ยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง คุณสิริมา กีรตยาคม รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และคุณวีรชาติ พุทธรักษา ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง

คุณสิริมา กีรตยาคม
รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง

โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็น 1 ใน 5 ของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับสินค้ารวมทั้งหมดเป็น 7 ล้านทีอียู จากการพัฒนาท่าเทียบเรือ E และ F ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือใหม่ โดยจะมีความลึกเพิ่มขึ้นเป็น 18.5 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (-18.5 MSL) เพื่อให้สามารถรองรับเรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทางท่าเรือฯ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเทียบ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งท่าเรือ Roll-on/Roll-off, Ro/Ro พร้อมสร้างระบบรางรถไฟทางคู่ใหม่จำนวนสองทาง เชื่อมต่อกับหลังท่าเทียบเรือชุดใหม่ เพื่อขยายขีดความสามารถในการขนส่งทางรางจากเดิม 2 ล้านทีอียูเป็น 6 ล้านทีอียู

คุณวีรชาติ พุทธรักษา
ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง

นอกจากนี้ ท่าเรือแหลมฉบังยังวางแผนพัฒนาขั้นตอนการดำเนินการของท่าเรือให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน อาทิ ระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ (Smart Port) ระบบยกและขนถ่ายตู้สินค้าอัตโนมัติ ระบบสแกนข้อมูลบนตู้สินค้าอัตโนมัติ ระบบ e-Gate และระบบ e-Port สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่นำเข้าและส่งออกระหว่างผู้ใช้บริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และหน่วยงานภาครัฐ พร้อมกันนั้นท่าเรือแหลมฉบังยังมีจุดมุ่งหมายในการเป็นท่าเรือสีเขียว (Green Port) ด้วยการนำเทคโนโลยีที่หลากหลายมาใช้งานภายในท่า เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน

ภายใต้การบริหารของ เรือโท ยุทธนาฯ คุณสิริมาฯ และคุณวีรชาติฯ โครงการท่าเทียบเรือแหลมฉบังได้ดำเนินการก่อสร้างทางทะเลไปแล้วกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และกำลังเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ และสาธารณูปโภคอื่นๆ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรกได้ภายในปี 2027 ทั้งนี้ ท่าเรือแหลมฉบังจะยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไป เพื่อส่งเสริมการเติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก พร้อมบรรลุเป้าหมายในการเป็นท่าเรือชั้นนำระดับมาตรฐานโลก


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้CMA CGM เปิดตัวเรือบาร์จพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบลำแรก ให้บริการขนส่งสินค้าแบรนด์ NIKE ในเวียดนาม
บทความถัดไปPIL เปิดตัวบริการ North China Indonesia (NCI) ยกระดับการขนส่งสินค้าในเส้นทาง Intra-Asia