นับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จํากัด หรือ Ajinomoto Co., (Thailand) Ltd. ผู้นำด้านธุรกิจอาหาร ได้เริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยพร้อมเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและบริการต่างๆ ครอบคลุมการค้าปลีกทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้การบริหารงานผ่านแนวคิด ‘The Ajinomoto Group Creating Shared Value (ASV)’ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการดำเนินการทางธุรกิจ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาคุณค่าทางสังคมไปพร้อมกับการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ โดยประกอบด้วยสามประเด็นหลัก คือ การสร้างสังคมสุขภาพดี ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการสร้างความยั่งยืนของโลก

ปัจจุบัน Ajinomoto เดินหน้าพัฒนาและแสดงความมุ่งมั่นในฐานะบริษัทที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่สังคมและโลก เพื่อพัฒนาโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านโครงการริเริ่มใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) ในการปฏิบัติการขนส่งและกระจายสินค้า ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท Yusen Food Supply Chain (Thailand) บริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ชั้นนำ ซึ่งเป็นพันธมิตรโลจิสติกส์อย่างเป็นทางการของ Ajinomoto (Thailand) ในการขนส่งและกระจายสินค้าของ Ajinomoto เพื่อเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติการขนส่งสินค้าที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ พร้อมขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัทฯ ในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามแผนงานด้านความยั่งยืน ภายในปี 2030

นิตยสาร LM ฉบับนี้ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณภาวินทร์ ฮัดเจสสัน กรรมการสมทบ รับผิดชอบฝ่ายจัดซื้อวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์และหน่วยงาน SCM บริษัท Ajinomoto Co., (Thailand) Ltd. และ Mr. Koichi Hirose รองประธานและประธานผู้อำนวยการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Yusen Logistics (Thailand) และประธาน บริษัท Yusen Food Supply Chain (Thailand) เกี่ยวกับแนวคิดสำคัญและแผนการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง Ajinomoto (Thailand) และ Yusen Food Supply Chain ในการปฏิบัติการกองรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าขนส่งและกระจายสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือ Ajinomoto เพื่อขับเคลื่อนสู่หลักชัยในการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการขนส่ง

กลุ่มบริษัท Ajinomoto Group ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นกว่า 110 ปีที่ผ่านมา ด้วยปณิธานในการมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน สังคม และโลก ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ ก่อนที่จะขยายธุรกิจมายังประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ.1960 โดยบริษัท Ajinomoto (Thailand) ได้รับการก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยในช่วงแรกเริ่ม บริษัทได้ประกอบธุรกิจด้านการผลิตผงชูรสอายิโนโมโต๊ะเป็นหลัก จากนั้นจึงได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ด้านอาหารอื่นๆ อาทิ เครื่องปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เครื่องดื่ม ควบคู่ไปกับการขยายโรงงานเพื่อรองรับปริมาณการผลิตตามขนาดของธุรกิจที่เติบโตขึ้น ปัจจุบัน Ajinomoto (Thailand) มีโรงงานในประเทศไทยทั้งหมดหกแห่ง พร้อมศูนย์การกระจายสินค้าอีกสี่แห่ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านอาหารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคม การปฏิบัติการขนส่งและกระจายสินค้าระหว่างโรงงานและศูนย์การกระจายสินค้า รวมถึงศูนย์การค้าจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่บริษัทฯ ต้องดำเนินการทุกวัน ในฐานะกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด ASV จึงวางเป้าหมายในการปฏิบัติการด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ราว 30 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 โดยความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการโลจิสติกส์และขนส่งสินค้า อย่าง Yusen Food Supply Chain (Thailand)

“บริษัท Ajinomoto (Thailand) ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยมายาวนานกว่าหกทศวรรษ และได้ขนส่งผลิตภัณฑ์ออกจากโรงงานไปยังลูกค้าทั่วประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงทุกวัน เพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในสังคม ตามสโลแกน ‘Eat Well, Live Well.’ หรือ  ‘กินดี อยู่ดี’ ด้วยเหตุนี้ทาง Ajinomoto จึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนแก่สังคมและโลก เพื่อเน้นย้ำถึงจุดยืนด้านการสร้างผลกระทบเชิงบวก โดยเมื่อไม่นานมานี้ Ajinomoto ได้ประกาศความมุ่งมั่นในลดการปล่อยคาร์บอนและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) ในกระบวนการกระจายสินค้าและขนส่งผลิตภัณฑ์ของ Ajinomoto ร่วมกับ Yusen Food Supply Chain” คุณภาวินทร์ กล่าว

เนื่องจาก Ajinomoto ยึดมั่นในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าผ่านการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์จากการดำเนินกิจกรรมขององค์กร ซึ่ง Ajinomoto (Thailand) ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณคาร์บอนตาม Scope 1 (การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions)) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions)) และพร้อมเดินหน้าดำเนินการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมใน Scope 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Other Indirect Emissions) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ในการนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการปฏิบัติการขนส่งและกระจายสินค้า

สำหรับกลยุทธ์การปฏิบัติการรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า ในครั้งนี้ Ajinomoto (Thailand) ได้ร่วมมือกับ Yusen Food Supply Chain (Thailand) ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งรับหน้าที่ในการขนส่งและกระจายผลิตภัณฑ์ในเครือของ Ajinomoto (Thailand) ไปยังศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ  โดยทั้งสองบริษัทได้วางแผนพัฒนากระบวนการโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดำเนินการทดลอง และประเมินผลร่วมกันอย่างใกล้ชิดจนเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้ามาใช้ปฏิบัติการ โดยในระยะแรกจะเริ่มต้นการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า 18 ล้อจำนวนสองคัน ระหว่างโรงงาน Ajinomoto และศูนย์กระจายสินค้าในเขตพื้นที่ภาคกลาง ก่อนที่จะเพิ่มจำนวนรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จนครบ 100 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 โดย Ajinomoto เล็งเห็นว่าหากสามารถปรับเปลี่ยนจากรถบรรทุกเชื้อเพลิงดีเซลที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นรถบรรทุกไฟฟ้าทั้งหมดจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี และภายในปี 2030 บริษัทฯ จะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

Mr. Hirose กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า  “แม้ว่ารถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าจะเป็นเทคโนโลยีที่ยังใหม่สำหรับประเทศไทย แต่กลุ่มบริษัท Yusen Logistics ก็ได้ทำการทดสอบปฏิบัติการรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขนส่งอย่างจริงจัง ทั้งในแง่ของการทดสอบปฏิบัติการในเส้นทางต่างๆ รวมถึงต้นทุน ความคุ้มค่า และปริมาณการลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จนนำมาซึ่งการนำรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้ในปฏิบัติการจริง นอกจากนี้ Yusen Logistics ยังได้ลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จพลังงานที่ศูนย์ปฏิบัติการของ Yusen Logistics เพื่อให้การปฏิบัติการมีความคล่องตัว รวดเร็ว และราบรื่นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังวางแผนในการเพิ่มสถานีชาร์จพลังงานในจุดยุทธศาสตร์อื่นๆ อีกในอนาคต”

นอกจากนี้ Mr. Hirose ยังได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับแผนกลยุทธ์ในครั้งนี้ว่า “การริเริ่มใช้รถบรรทุกไฟฟ้า ในครั้งนี้เกิดจากแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการปฏิบัติการโลจิสติกส์และขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยมลภาวะและส่งเสริมด้านความยั่งยืนให้แก่สังคม แม้ว่าปัจจุบัน รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าจะสามารถปฏิบัติการขนส่งสินค้าในระยะทางไกลราว 300 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเทคโนโลยีรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าและขีดความสามารถของแบตเตอรี่มีการพัฒนามากขึ้น เราก็จะเดินหน้ายกระดับการปฏิบัติการของกองรถบรรทุกไฟฟ้าร่วมกับ Ajinomoto ต่อไป เพื่อให้กระบวนการขนส่งและกระจายสินค้าในเครือของ Ajinomoto ทั้งหมดปฏิบัติการด้วยรถบรรทุกไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์”

บริษัท Yusen Food Supply Chain ในเครือของ Yusen Logistics เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีนโยบายด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านวิสัยทัศน์การเชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจ และชุมชนผ่านบริการโลจิสติกส์ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า “Yusen Food Supply Chain เป็นพันธมิตรที่เข้าใจความต้องการและแผนงานของ Ajinomoto เป็นอย่างดี นอกเหนือจากศักยภาพในการให้บริการโลจิสติกส์และกระจายสินค้าไปยังปลายทางทั่วประเทศแล้ว ทาง Yusen Food Supply Chain ยังมีนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับ Ajinomoto และทั้งสองบริษัทต่างมองว่าความท้าทายด้านการลดปริมาณการปล่อยมลพิษในกระบวนการขนส่งนั้นจำเป็นจะต้องมีการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้งานรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าขนส่งสินค้า เราจึงเดินหน้าแผนการศึกษาความเป็นไปได้ สรุปผล และตัดสินใจใช้งานรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าในปฏิบัติการขนส่งสินค้าของเราในระยะแรกจำนวนสองคัน และวางแผนเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี” คุณภาวินทร์ กล่าว

แม้ว่าการลงทุนปฏิบัติการรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีต้นทุนค่อนข้างสูง อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่สามารถรองรับการขนส่งในระยะทางไกลได้อย่างเต็มที่ ด้วยปัจจัยด้านสถานีชาร์จพลังงาน และระยะเวลาในการจอดชาร์จ อย่างไรก็ตาม ทั้ง Ajinomoto และ Yusen Food Supply Chain ต่างเล็งเห็นว่าการแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและเร่งด่วน ในขณะที่เทคโนโลยีนั้นมีการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปฏิบัติการขนส่งสินค้าได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น ทั้ง Ajinomoto และ Yusen Food Supply Chain จึงเดินหน้าวางแผนขยายกองรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมติดตั้งสถานีชาร์จที่ศูนย์กระจายสินค้าทุกแห่ง เพื่อให้สามารถบรรลุหลักชัยสำคัญในการส่งเสริมสังคมสุขภาพดีและมีความเป็นอยู่ที่ดี ตามหลัก ‘Eat Well, Live Well.’ พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้Sahathai Terminal ก้าวเป็นท่าเรือหลักในบริการ ‘TMI’ ของสายการเดินเรือ Evergreen
บทความถัดไปToll เปิดตัวบริการดิจิทัล ‘Quote & Book’