ภายใต้เป้าหมายในการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สหไทย เทอร์มินอล ได้พัฒนาคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารูปแบบอาคารเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่สามารถรวบรวมสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากร ด้วยบริการคลังสินค้าทัณฑ์บน (bonded warehouse) และคลังสินค้าเขตปลอดอากร (freezone) มาไว้ในอาคารเดียวกัน ซึ่งเป็นการยกระดับบริการขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งภายในพื้นที่อาคารยังมีการให้บริการคลังสินค้าทั้งแบบควบคุมอุณหภูมิและสินค้าทั่วไป เพื่อประโยชน์และตอบสนองผู้นำเข้าสินค้าได้อย่างครบวงจร
ในฐานะผู้นำในการมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา สหไทย เทอร์มินอล ได้ปรับปรุงและพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการ ผ่านโซลูชันที่มอบประสิทธิภาพด้านต้นทุนและเวลา ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบข่ายการให้บริการในธุรกิจโลจิสติกส์ของสหไทย เทอร์มินอล เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มนำเข้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคอื่นๆ ในเอเชีย รวมไปถึงการพัฒนาความรวดเร็วในการกระจายและส่งมอบสินค้า ให้สามารถส่งถึงมือลูกค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลภายใน 24 ชม อีกด้วย
นิตยสาร LM ฉบับนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณมินทร์รวี โพธิ์ดี รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับที่มาของโครงการพัฒนาคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้ พร้อมพูดคุยถึงจุดเด่นและสิทธิประโยชน์ที่คลังสินค้าหลังใหม่จะมอบให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการ
โดยคุณมินทร์รวี กล่าวว่า “ทางบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในทำเลที่ตั้งของท่าเรือสหไทยและคลังสินค้าที่สามารถให้บริการลูกค้าทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้านำเข้า ทางผู้บริหารจึงพัฒนาโครงการพื้นที่อาคารแนวตั้ง ซึ่งเดิมเป็นเพียงคลังสินค้าทั่วไป ให้กลายเป็นคลังสินค้าที่มีทั้งการให้บริการคลังสินค้าทัณฑ์บน (bonded warehouse) และคลังสินค้าเขตปลอดอากร (Freezone) เพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้นำเข้าสินค้ามายังเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมากที่สุด
Realizing The Environment
โดยทั่วไปแล้ว คลังสินค้าต่างๆ มักจะตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณรอบนอกของกรุงเทพมหานคร อย่าง สมุทรปราการหรือสมุทรสาคร เนื่องจากก่อสร้างคลังสินค้ามักจะต้องใช้พื้นที่มาก และการก่อสร้างคลังสินค้าในย่านใจกลางเมืองนั้นมักจะมีปัญหาด้านความจำกัดของพื้นที่ ต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงยากต่อการขยายตัวในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าผ่านท่าเรือแม่น้ำในเขตกรุงเทพมหานคร และมีฐานการกระจายสินค้าหรือดำเนินกิจการในย่านใจกลางเมือง การเลือกใช้คลังสินค้าที่ตั้งอยู่รอบนอกเขตกรุงเทพฯ มักจะตามมาด้วยปัญหาด้านประสิทธิภาพทางต้นทุนและระยะเวลาในการดำเนินการที่ต้องเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น อีกทั้งการดำเนินการขนส่งสินค้าซ้ำซ้อนยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการขนส่งแต่ละครั้งย่อมมีการการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามมาเสมอ
ด้วยเหตุนี้ สหไทย เทอร์มินอล จึงเล็งถึงโอกาสในการพัฒนาโซลูชันเพื่อเติมเต็มความต้องการส่วนนี้ของลูกค้าในตลาด โดยได้ริเริ่มดำเนินการวางแผนและศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาอาคารคลังสินค้าเดิม ซึ่งมีจุดแข็งทางด้านทำเลที่ตั้ง ให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่มีการดำเนินการครบวงจรอย่างแท้จริง
โดยคุณมินทร์รวี ได้อธิบายว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาบริการท่าเรือเอกชนบนแม่น้ำเจ้าพระยา รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้าผ่านเรือขนส่งสินค้าชายฝั่งจากท่าเรือแหลมฉบังมายังพื้นที่กรุงเทพมหานครให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของนโยบาย Green Logistics ซึ่งหมายถึงการเลือกใช้บริการขนส่งสินค้าที่ปล่อยมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งการที่คลังสินค้าของเราอยู่ในพื้นที่ใกล้เมืองและผู้บริโภคที่สุด ไม่เพียงทำให้การส่งสินค้าไปยังลูกค้าทำได้รวดเร็วมากขึ้น แต่นั่นยังหมายถึงระยะการขนส่งที่สั้นลงและปริมาณเชื้อเพลิงที่ถูกใช้งานก็จะน้อยลงเช่นกัน ซึ่งจุดแข็งจุดนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ซัพพลายเชนของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”
สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาอาคารคลังสินค้า สหไทย เทอร์มินอล ได้มองไปยังตัวอย่างโมเดลธุรกิจในประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ อย่างสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่น้อย แต่กลับมีอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยศักยภาพและโอกาส โดยในประเทศดังกล่าว ได้มีการแก้ปัญหาความจำกัดทางพื้นที่ ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในลักษณะ ‘แนวตั้ง’ หรือการสร้างอาคารให้มีหลายชั้น เพื่อขยายพื้นที่สำหรับการใช้สอย รวมไปถึงการเล็งถึงความสำคัญของสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากร ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นพิจารณาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคลังสินค้าฯ คลังสินค้าโฉมใหม่แห่งนี้ จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นคลังสินค้าแนวตั้งแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีทั้งการบริการคลังสินค้าทั้งแบบทัณฑ์บน (bonded warehouse) และแบบเขตปลอดอากร (freezone) ในอาคารเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเพียงแห่งเดียว ที่มีบริการเขตปลอดอากรทั้งแบบลานตู้และอาคารคลังสินค้า
“หลังจากที่บริษัทฯ ได้นำเสนอโครงการพัฒนาคลังสินค้าแห่งนี้ไปยังกรมศุลกากร ต้องขอบคุณทางกรมศุลกากรก็เล็งเห็นถึงศักยภาพ ความสำคัญและความตั้งใจของบริษัทฯ ในการพัฒนาคลังสินค้าที่มีการให้บริการทั้งในรูปแบบของคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากร เพื่อการสนับสนุนการให้บริการโลจิสติกส์ในรูปแบบใหม่ๆ (Logistics Solution) รวมถึงเป็นการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ” คุณมินทร์รวี อธิบายเสริม
“โดยอาคารคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ของเรามีทั้งหมด 5 ชั้น ในแต่ละชั้นมีพื้นที่ใช้สอยถึง 2,880 ตารางเมตร ซึ่งชั้น 1 และ 2 เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน ขณะที่ชั้น 3 และ 4 เป็นคลังสินค้าเขตปลอดอากร นอกเหนือจากความหลากหลายของการเลือกใช้สิทธิประโยชน์จากประเภทของคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากรแล้ว ผู้นำเข้าหรือผู้ใช้บริการยังมีความหลากหลายในการเลือกประเภทการจัดเก็บทั้งแบบ การจัดเก็บห้องเย็น Cold Storage ที่สามารถรองรับสินค้าได้หลายหลายชนิดหรือจัดเก็บแบบทั่วไป (Ambient) ซึ่งถือว่าอาคารนี้สามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างครบวงจร”คุณมินทร์รวีกล่าว
Green Logistics
สำหรับการพัฒนาคลังสินค้าแห่งนี้ บริษัทฯ ไม่ได้คำนึงถึงเพียงแต่ศักยภาพทางธุรกิจเท่านั้น แต่สหไทย เทอร์มินอล ยังได้พิจารณาถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมด้วย โดยนอกเหนือจากที่ตั้งทางกลยุทธ์ที่สามารถช่วยสนับสนุนให้การขนส่งสินค้ากระชับและรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จากการขนส่งสินค้าหลายเที่ยวแล้ว ทาง สหไทย เทอร์มินอล ยังลงทุนติดตั้งแผงโซลาเซลล์บนหลังคาของคลังสินค้า เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในอาคาร ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
Integrated Logistics
การพัฒนาคลังสินค้าในครั้งนี้เป็นนับเป็นการดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมและโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนธุรกิจท่าเทียบเรือ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ สหไทย เทอร์มินอล ได้อีกด้วย
“หนึ่งในการดำเนินการธุรกิจหลักของ สหไทย เทอร์มินอล คือ การให้บริการท่าเทียบเรือซึ่งเป็นเกตเวย์สำหรับการส่งออก-นำเข้าสินค้าจากตลาดการผลิตและการค้าชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าสินค้าจากประเทศผู้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคสำเร็จรูปมายังประเทศไทย อาทิ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือยุโรป อเมริกา โดยคลังสินค้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ในครั้งนี้ จะเข้ามาเสริมและขยายขอบเขตในการมอบบริการโลจิสติกส์ครบวงจรของ สหไทย เทอร์มินอล โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการกระจายสินค้า การจัดเก็บเพื่อรักษาสิทธิ์สินค้าทัณฑ์บนหรือเขตปลอดอากร รวมไปถึงการให้บริการขนส่งทางรถบรรทุกหลากหลายรูปแบบของทางบริษัท Bangkok Trucking Service หรือ ที่รู้จักกันในนาม BTS ในการจัดส่งสินค้าไปยังผู้ใช้ปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน” คุณมินทร์รวีกล่าวสรุป
ด้วยประสบการณ์การดำเนินการและการมุ่งมั่นพัฒนามาอย่างยาวนานมากกว่าหนึ่งทศวรรษในฐานะผู้ประกอบการท่าเทียบเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาชั้นนำ ทำให้ สหไทย เทอร์มินอล เดินหน้าลงทุนพัฒนาคลังสินค้าแห่งใหม่ พร้อมรังสรรค์โซลูชันโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างตรงจุด ภายใต้เป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรได้อย่างเต็มตัว พร้อมสนับสนุนนโยบาย Green Logistics เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนของลูกหลานต่อไป
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่