DP World สนับสนุนการเพิ่มอุณหภูมิอาหารแช่แข็งเป็น -15 องศาเซลเซียส เพื่อลดอัตราการปล่อยคาร์บอน

0
420

โดยทั่วไปแล้วอาหารแช่แข็งส่วนใหญ่มักได้รับการขนส่งและจัดเก็บที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิมาตรฐานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ 93 ปีที่แล้ว และไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงนับแต่นั้น จากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนอุณหภูมิมาที่ -15 องศาเซลเซียส อาจสร้างผลกระทบเชิงบวกครั้งใหญ่ต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยหรือคุณภาพของอาหาร

ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ จากสถาบัน International Institute of Refrigeration ซึ่งตั้งอยู่ใน Paris มหาวิทยาลัย Birmingham และมหาวิทยาลัย London South Bank ศึกษาพบว่า การปรับอุณหภูมิเพียงเล็กน้อยสามารถมอบประโยชน์ให้อุตสาหกรรมฯ ได้ดังนี้

  • ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 17.7 ล้านเมตริกตันต่อปี เทียบเท่ารถจำนวน 3.8 ล้านคันต่อปี
  • ประหยัดพลังงานได้ราว 25 เทระวัตต์ต่อชั่วโมง (TW/h) เทียบเท่าการใช้พลังงาน 8.63 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในสหราชอาณาจักร
  • ลดค่าใช้จ่ายในซัพพลายเชนได้อย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์ และส่วนอื่นได้มากถึง 12 เปอร์เซ็นต์

งานวิจัยดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนโดยองค์กรโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลกและพันธมิตรหลักๆ ใน COP28 โดย DP World ได้ก่อตั้งแนวร่วมในอุตสาหกรรมเพื่อหาความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยตั้งชื่อว่า Join the Move to -15°C

การร่วมมือกันครั้งนี้มีความมุ่งมั่นเพื่อปรับมาตรฐานอุณหภูมิสินค้าแช่แข็ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดค่าใช้จ่ายในซัพพลายเชน และรักษาทรัพยากรอาหารสำหรับประชาชนโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมเข้าร่วมมากมาย ทั้งกลุ่มบริษัท AJC Group ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในสหรัฐอเมริกา, A.P. Moller – Maersk (Maersk) จากเดนมาร์ก, Daikin จากญี่ปุ่น, DP World, Global Cold Chain Alliance, Kuehne + Nagel International จากสวิสเซอร์แลนด์, Lineage ที่มีฐานปฏิบัติการในสหรัฐอเมริกา, Mediterranean Shipping Company (MSC) จากสวิสเซอร์แลนด์ และสายการเดินเรือ Ocean Network Express (ONE) ที่มีฐานปฏิบัติการในสิงคโปร์

Mr. Maha AlQattan ประธานบริหารฝ่ายความยั่งยืนประจำกลุ่มบริษัท DP World กล่าวว่า “มาตรฐานอาหารแช่แข็งไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนข้อมูลราวศตวรรษ ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานมากสำหรับการปรับข้อมูลให้ทันสมัย การเพิ่มอุณหภูมิเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างประโยชน์ได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม แม้แต่ละฝ่ายจะมุ่งมั่น แต่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมฯ ได้หากทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน ด้วยงานวิจัยในครั้งนี้และการร่วมมือครั้งใหม่ของเรา เรามุ่งมั่นสนับสนุนแนวคิดร่วมนี้ในอุตสาหกรรมฯ เพื่อหาวิธีที่เป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนในภาคธุรกิจนี้ให้เท่ากับศูนย์ให้สำเร็จภายในปี 2050”


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้APM Terminals เปิดให้บริการเลนพิเศษสำหรับยานยนต์ปลอดคาร์บอนใน Pier 400 Los Angeles
บทความถัดไปPSA BDP เปิดสาขาใหม่ใน Lisbon โปรตุเกส เดินหน้าขยายกิจการในยุโรป