TNSC แถลงข่าวสถานการณ์การส่งออกเดือนมกราคม 2025

0
20

เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC) นำโดย ดร.ชัญชาญ เจริญสุข ประธาน TNSC ร่วมกับคุณสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน TNSC และคุณคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร TNSC ได้จัดแถลงข่าวสถานการณ์การส่งออกเดือนมกราคม ปี 2025

โดยข้อมูลจากสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยระบุว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี 2025 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 25,277.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.6 เปอร์เซ็นต์ และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 862,367 ล้านบาท ขยายตัว 11.8 เปอร์เซ็นต์ (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมขยายตัว 11.4 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,157.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.9 เปอร์เซ็นต์ และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,112 ล้านบาท ขยายตัว 6.3 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม ปี 2025 ขาดดุลเท่ากับ 1,880.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,746 ล้านบาท

อนึ่ง สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยคาดการณ์ส่งออกปี 2025 เติบโตที่ 1-3 เปอร์เซ็นต์ (ณ เดือนมีนาคม ปี 2025) โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการทางภาษีกดดันการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 2) สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทย ให้เป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ของไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น 3) สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับหรือพัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า 4) การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบรับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป 5) แรงงานฝีมือไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต และ 6) ขาดนโยบายหลัก (Single Policy) อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบายที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้ 1) ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกา ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (De-Risking) อาทิ 1.1) มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า และ 1.2) หารือผู้นำเข้า/ทูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน และ 2) เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai-EU และ ASEAN-Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้PSA Ventures จับมือ NIDLP ร่วมลงทุนในเทคโนโลยีท่าเรืออัตโนมัติและซัพพลายเชนที่ยั่งยืน