LEO เร่งเดินหน้าแผนการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตร เล็งเจาะตลาดอาเซียน

0
1314

คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท LEO Global Logistics Public Company Limited (LEO) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่าสามทศวรรษ เผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai พร้อมเงินระดมทุนกว่า 410 ล้านบาท LEO จะนำเม็ดเงินดังกล่าวไปลงทุนตามแผน ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านข้อตกลงซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) ทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยหนึ่งในพันธมิตรที่อยู่ในแผนการขยายธุรกิจ เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศในประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลง และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2021

“แผนการดำเนินงานในปี 2021 ซึ่งมุ่งเน้นการเตรียมเข้าซื้อกิจการบริษัทจำนวนสองถึงสามแห่ง ทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนามเเละอินโดนีเซียนั้น ในปัจจุบันอยู่ระหว่างพูดคุย โดยวางแผนให้เป็นบริษัทในประเทศไทยหนึ่งแห่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ และเป็นบริษัทที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียนสองแห่ง ทั้งนี้ เราวางเป้าหมายไปที่บริษัทที่มีรายได้ประมาณ 100-200 ล้านบาทและมีกำไรอย่างสม่ำเสมอ  และคาดว่าในปี 2021 จะเห็นความชัดเจนของข้อตกลงซื้อและควบรวมกิจการอย่างน้อยหนึ่งบริษัท” คุณเกตติวิทย์ กล่าว

ขณะเดียวกัน LEO ยังวางแผนขยายกิจการธุรกิจบริการพื้นที่เก็บของ หรือ LEO Self Storage (LSS) และคลังสินค้าออนไลน์ (E-Fulfillment) จำนวนสองโครงการ มูลค่า 80-100 ล้านบาท ด้วยพื้นที่ประมาณ 2,000-3000 ตารางเมตร โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่สาม ปี 2021 และมีพื้นที่เพิ่มขึ้นจาก 1,200 ตารางเมตร ในปัจจุบัน

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังวางแผนการพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศเมียนมาร์ มูลค่า 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2022 พร้อมกับวางแผนโครงการขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้า (Container Depot) มูลค่า 50-60 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายไตรมาสที่สี่ของปี 2021

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2020 นั้น คุณเกตติวิทย์เชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาสที่ สามถึงสี่ ซึ่งยังมีการเติบโตสูง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าเริ่มกลับมาใช้บริการขนส่งสินค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ LEO ยังได้รับแรงหนุนจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการเติบโตมากขึ้นในยุคนิวนอร์มอล โดยเฉพาะการจัดโปรโมชันของผู้ประกอบการ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปี รวมไปถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ก็ผลักดันให้ปริมาณความต้องการส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้น

ส่วนปี 2021 คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตรา 20 -25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากปีนี้ เเละจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามการลงทุน ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ของทุกๆ โครงการได้เต็มปีได้ในปี 2022

ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 789.6 ล้านบาท ลดลง 0.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งถือว่าได้รับผลกระทบที่น้อยมากจากวิกฤต COVID-19 มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 795.2 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 43.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาท หรือ 10.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 39.3 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ไตรมาส 3/63 มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 252.3 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นเติบโต 23.58% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วและ มีกำไรสุทธิ 15.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2 ล้านบาท หรือเติบโต 284% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3.9 ล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/63 บริษัทฯยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับสูงถึง 34.9% และกำไรสุทธิ 6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.7%

“กำไรสุทธิปี 2020 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งๆ ที่ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกเกิดการชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถการบริหารจัดการต้นทุนและกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี  เพราะหลักการทำงานของเราไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องของรายได้ แต่เราเน้นการสร้างผลกำไร การที่เราให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศได้แบบครบวงจรทั้งทางบก ทะเล และอากาศ และมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจได้”


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้Evergreen รับมอบเรือ ‘Ever Fortune’ เสริมแกร่งเส้นทางเอเชีย – ชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ
บทความถัดไปรฟท. ขยายเวลาการลดค่าบริการ หนุนผู้ประกอบการจากวิกฤต COVID-19