ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกมักจะคิดว่าทุกธุรกิจต้องพยายามปรับตัวให้เป็น ‘one-stop shop’ นั่นเพราะการเดินเข้าร้านค้าเพียงร้านเดียวหรือเปิดเข้าไปที่ร้านค้าออนไลน์เพียงแห่งเดียวแต่ได้สินค้าครบถ้วนตามที่ต้องการถือเป็นเรื่องที่สะดวกสบายต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม สำหรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์แล้วการผลักดันให้บริษัทผู้รับการจัดการขนส่งสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์สามารถให้บริการได้ทุกอย่างนั้น กลับหมายถึงจำนวน
บริษัทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในตลาดเฉพาะกลุ่มที่จะลดน้อยลงไปด้วย
Freightplus เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ไม่ได้เดินตามกระแสแนวคิดดังกล่าว และยังคงมุ่งให้บริการในตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche) ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการจัดการขนส่งสินค้าโครงการที่มีน้ำหนักมากมาเป็นเวลาหลายปี ทำให้บริษัทฯ มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเพียงไม่กี่บริษัทที่สามารถให้บริการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะเปิดให้บริการมายาว นานเกือบสองทศวรรษ แต่บริษัทฯ ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่ Freightplus ได้ดำเนินธุรกิจในภูมิภาคมาเป็นเวลาหลายปี บัดนี้จึงได้เวลาที่บริษัทฯ จะปักหลักชัยก่อตั้งฐานธุรกิจและเปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยล่าสุด LM ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Mr. Michael Andrews กรรมการผู้จัดการ บริษัท Freightplus Thailand เกี่ยวกับการก่อตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทย และการปั้นแบรนด์เพื่อให้บริการเฉพาะทาง รวมไปถึงเคล็ดลับการให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปยังปลายทางทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
A Framework for Success
เกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกลขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีแนวคิดคล้ายๆ กัน และมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลักได้รวมตัวกันก่อตั้งแบรนด์ Freightplus เพื่อให้บริการขนส่งเครื่องจักรกลขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากเป็นหลัก เนื่องจากเครื่องจักรเหล่านี้เป็นสินค้าที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการจัดการสูง
จุดเริ่มต้นของ Freightplus จุดประกายขึ้นที่ออสเตรเลีย และได้สยายปีกผงาดขึ้นในตลาดหลักในหลายประเทศ อาทิ ประเทศไทย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และชิลี แม้ว่าตัวบริษัทเองจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เฉกเช่นบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายอื่นๆ แต่บริษัท Freightplus ล้วนเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทางและมีแนวคิดในการส่งมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดการขนส่งสินค้ากลุ่มอุปกรณ์และเครื่องจักรกลโรงงานได้อย่างสง่างาม
นอกเหนือจากการลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยแล้ว การดำเนินธุรกิจภายใต้การนำของ Mr. Andrews ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมฯ และได้ร่วมงานกับบริษัทฯ มาตั้งแต่ Freightplus ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ
“ผมมีความคุ้นเคยกับประเทศไทยมายาวนานกว่า 15 ปี เพราะผมเคยทำงานด้านโลจิสติกส์และการนำเข้าสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย ก่อนที่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ผมจะย้ายไปทำงานกับบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าโครงการ โดยขณะนั้น Freightplus เป็นลูกค้าของผมมายาวนานกว่าห้าปี นั่นจึงทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทฯ เป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทฯ ได้ให้บริการขนย้ายอุปกรณ์และเครื่องจักรมือสองที่ใช้ในเหมืองจากทั่วโลกมายังประเทศไทยมากกว่า 80 ชิปเมนท์ เพราะไทยถือเป็นที่ตั้งที่เหมาะสมเป็นอย่างมากสำหรับจัดการสินค้า ก่อนที่จะทำการขนส่งต่อไปยังปลายทางสุดท้าย” Mr. Andrews กล่าว
Mr. Andrews อธิบายต่อว่า “ในที่สุดผมก็ลาออกจากงานที่ทำอยู่ เพื่อมาประกอบธุรกิจของตัวเอง ผมเริ่มมองเห็นโอกาสที่ดีรออยู่ ผมสังเกตได้ว่าแม้สินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ในแต่ละชิปเมนท์ที่ผ่านมา ควรจะผ่านการตรวจสอบคุณภาพให้มั่นใจว่าสินค้าพร้อมที่จะส่งมอบไปยังปลายทางเสียก่อน แต่ก็ยังคงมีข้อผิดพลาดหลายอย่างให้เห็น ทำให้เราต้องมองหาผู้ให้บริการที่จะนำสินค้ากลับออกไปจากเขตปลอดอากร (free zone) ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้จึงทำให้ผมเข้าใจกระบวนการนำเข้าและส่งสินค้ากลับออกไปจากเขตปลอดอากรอีกครั้ง ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้แนวคิดที่จะบุกเบิกธุรกิจนี้ขึ้นมา”
Finding Your Niche
นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ได้นำพาให้ Mr. Andrews ไปร่วมพูดคุยกับ Freightplus ถึงโอกาสในการร่วมลงทุนธุรกิจใหม่ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของ Freightplus ในภูมิภาคกลายเป็นศูนย์กลางในการจัดการขนส่งสินค้า ซึ่งจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าและการดำเนินกิจกรรมมูลค่าเพิ่มสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่รอการขนถ่าย ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้และการสร้างงานในประเทศไทย จากการที่ทั้งสองฝ่ายเคยทำงานร่วมกันมาบ้าง ทำให้เข้าใจในส่วนงานปฏิบัติการและมีความเชื่อมั่นในกันและกันมาเป็นอย่างดี ดังนั้น การดำเนินการต่างๆ ในกระบวนการก่อตั้งบริษัทใหม่จึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 บริษัท Freightplus Thailand ก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยมีผู้ถือหุ้นจาก Freightplus ในต่างประเทศ 50 เปอร์เซนต์ และอีก 50 เปอร์เซนต์เป็นของผู้บริหารในประเทศไทย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทฯ ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน Freightplus มีสำนักงานที่แหลมฉบังสองแห่ง รวมถึงลานจัดเก็บสินค้าและคลังสินค้าอีกหลายหลัง แม้ว่าธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทฯ จะครอบคลุมถึงบริการรับจัดการขนส่งสินค้าและขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทยของ Freightplus คือการให้บริการเฉพาะทางต่างๆ สำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อยและขนาดกลาง (SME) ภายใต้การนำของ Mr. Andrew และกัปตันสรพงษ์ พรงาม ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกมักจะคิดว่าทุกธุรกิจต้องพยายามปรับตัวให้เป็น ‘one-stop shop’ นั่นเพราะการเดินเข้าร้านค้าเพียงร้านเดียวหรือเปิดเข้าไปที่ร้านค้าออนไลน์เพียงแห่งเดียวแต่ได้สินค้าครบถ้วนตามที่ต้องการถือเป็นเรื่องที่สะดวกสบายต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม สำหรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์แล้วการผลักดันให้บริษัทผู้รับการจัดการขนส่งสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์สามารถให้บริการได้ทุกอย่างนั้น กลับหมายถึงจำนวน
บริษัทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในตลาดเฉพาะกลุ่มที่จะลดน้อยลงไปด้วย
Freightplus เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ไม่ได้เดินตามกระแสแนวคิดดังกล่าว และยังคงมุ่งให้บริการในตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche) ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการจัดการขนส่งสินค้าโครงการที่มีน้ำหนักมากมาเป็นเวลาหลายปี ทำให้บริษัทฯ มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเพียงไม่กี่บริษัทที่สามารถให้บริการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะเปิดให้บริการมายาว นานเกือบสองทศวรรษ แต่บริษัทฯ ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่ Freightplus ได้ดำเนินธุรกิจในภูมิภาคมาเป็นเวลาหลายปี บัดนี้จึงได้เวลาที่บริษัทฯ จะปักหลักชัยก่อตั้งฐานธุรกิจและเปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยล่าสุด LM ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Mr. Michael Andrews กรรมการผู้จัดการ บริษัท Freightplus Thailand เกี่ยวกับการก่อตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทย และการปั้นแบรนด์เพื่อให้บริการเฉพาะทาง รวมไปถึงเคล็ดลับการให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปยังปลายทางทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
A Framework for Success
เกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกลขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีแนวคิดคล้ายๆ กัน และมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลักได้รวมตัวกันก่อตั้งแบรนด์ Freightplus เพื่อให้บริการขนส่งเครื่องจักรกลขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากเป็นหลัก เนื่องจากเครื่องจักรเหล่านี้เป็นสินค้าที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการจัดการสูง
จุดเริ่มต้นของ Freightplus จุดประกายขึ้นที่ออสเตรเลีย และได้สยายปีกผงาดขึ้นในตลาดหลักในหลายประเทศ อาทิ ประเทศไทย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และชิลี แม้ว่าตัวบริษัทเองจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เฉกเช่นบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายอื่นๆ แต่บริษัท Freightplus ล้วนเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทางและมีแนวคิดในการส่งมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดการขนส่งสินค้ากลุ่มอุปกรณ์และเครื่องจักรกลโรงงานได้อย่างสง่างาม
นอกเหนือจากการลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยแล้ว การดำเนินธุรกิจภายใต้การนำของ Mr. Andrews ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมฯ และได้ร่วมงานกับบริษัทฯ มาตั้งแต่ Freightplus ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ
“ผมมีความคุ้นเคยกับประเทศไทยมายาวนานกว่า 15 ปี เพราะผมเคยทำงานด้านโลจิสติกส์และการนำเข้าสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย ก่อนที่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ผมจะย้ายไปทำงานกับบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าโครงการ โดยขณะนั้น Freightplus เป็นลูกค้าของผมมายาวนานกว่าห้าปี นั่นจึงทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทฯ เป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทฯ ได้ให้บริการขนย้ายอุปกรณ์และเครื่องจักรมือสองที่ใช้ในเหมืองจากทั่วโลกมายังประเทศไทยมากกว่า 80 ชิปเมนท์ เพราะไทยถือเป็นที่ตั้งที่เหมาะสมเป็นอย่างมากสำหรับจัดการสินค้า ก่อนที่จะทำการขนส่งต่อไปยังปลายทางสุดท้าย” Mr. Andrews กล่าว
Mr. Andrews อธิบายต่อว่า “ในที่สุดผมก็ลาออกจากงานที่ทำอยู่ เพื่อมาประกอบธุรกิจของตัวเอง ผมเริ่มมองเห็นโอกาสที่ดีรออยู่ ผมสังเกตได้ว่าแม้สินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ในแต่ละชิปเมนท์ที่ผ่านมา ควรจะผ่านการตรวจสอบคุณภาพให้มั่นใจว่าสินค้าพร้อมที่จะส่งมอบไปยังปลายทางเสียก่อน แต่ก็ยังคงมีข้อผิดพลาดหลายอย่างให้เห็น ทำให้เราต้องมองหาผู้ให้บริการที่จะนำสินค้ากลับออกไปจากเขตปลอดอากร (free zone) ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้จึงทำให้ผมเข้าใจกระบวนการนำเข้าและส่งสินค้ากลับออกไปจากเขตปลอดอากรอีกครั้ง ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้แนวคิดที่จะบุกเบิกธุรกิจนี้ขึ้นมา”
Finding Your Niche
นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ได้นำพาให้ Mr. Andrews ไปร่วมพูดคุยกับ Freightplus ถึงโอกาสในการร่วมลงทุนธุรกิจใหม่ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของ Freightplus ในภูมิภาคกลายเป็นศูนย์กลางในการจัดการขนส่งสินค้า ซึ่งจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าและการดำเนินกิจกรรมมูลค่าเพิ่มสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่รอการขนถ่าย ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้และการสร้างงานในประเทศไทย จากการที่ทั้งสองฝ่ายเคยทำงานร่วมกันมาบ้าง ทำให้เข้าใจในส่วนงานปฏิบัติการและมีความเชื่อมั่นในกันและกันมาเป็นอย่างดี ดังนั้น การดำเนินการต่างๆ ในกระบวนการก่อตั้งบริษัทใหม่จึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 บริษัท Freightplus Thailand ก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยมีผู้ถือหุ้นจาก Freightplus ในต่างประเทศ 50 เปอร์เซนต์ และอีก 50 เปอร์เซนต์เป็นของผู้บริหารในประเทศไทย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทฯ ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน Freightplus มีสำนักงานที่แหลมฉบังสองแห่ง รวมถึงลานจัดเก็บสินค้าและคลังสินค้าอีกหลายหลัง แม้ว่าธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทฯ จะครอบคลุมถึงบริการรับจัดการขนส่งสินค้าและขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทยของ Freightplus คือการให้บริการเฉพาะทางต่างๆ สำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อยและขนาดกลาง (SME) ภายใต้การนำของ Mr. Andrew และกัปตันสรพงษ์ พรงาม ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
Mr. Andrews เปิดเผยว่าหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของธุรกิจคือเขตปลอดอากร “ผมมีประสบการณ์ทำงานในเขตปลอดอากรในประเทศไทยมากว่าแปดปี จึงทำให้ผมรู้จักทุกส่วนเป็นอย่างดี เขตปลอดอากรเป็นเหมือนเสาหลักสำหรับธุรกิจที่เรากำลังดำเนินการอยู่ทุกวันนี้ อีกทั้งยังช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นและนำเสนอบริการผ่านการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
วัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งอาคารปฏิบัติการในเขตปลอดอากรขึ้นมาเองก็คือ เราต้องการที่จะให้บริการพื้นที่จัดเก็บสินค้าในราคาที่เป็นมิตร และเป็นพื้นที่ให้บริการมูลค่าเพิ่มสำหรับเครื่องมือขนาดใหญ่ต่างๆ ที่รอการขนถ่ายไปยังปลายทาง โดยบริการของเราครอบคลุมถึง การทำความสะอาดเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางชีวภาพ ที่ต้องมีการดำเนินการก่อนที่อุปกรณ์มือสองจะได้รับการขนส่งไปยังปลายทางในประเทศต่างๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะอุปกรณ์ขนาดใหญ่เหล่านี้อาจได้รับการขนส่งมาจากประเทศต้นทางที่มีค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดสูง หรือเสี่ยงต่ออันตรายมากเกินไป โดย Freightplus นำเสนอทางเลือกบริการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าพวกเขาต้องการเพียงขนถ่ายสินค้าที่แหลมฉบัง หรือต้องการทำความสะอาดให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด และส่งต่อไปยังปลายทางสุดท้าย ปัจจุบัน บริษัทฯ ของเราให้บริการเพิ่มมูลค่าหลายบริการ อาทิ บริการซ่อมแซมเครื่องจักรกล บริการพ่นสี และประกอบชิ้นส่วนเครื่อง จักร นอกจากนี้ เรายังมีการพัฒนาบริการเสริมอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าทุกวันนี้ประเทศไทยจะมีบริษัทผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าหลายร้อยราย เพื่อให้ขนส่งสินค้าแทบทุกประเทศไปยังปลายทางทุกแห่งหน แต่นั่นไม่ใช่บริการสำหรับ Freightplus เพราะเรามีกลุ่มธุรกิจเฉพาะที่เรามีความเชี่ยวชาญและมุ่งมั่นให้บริการอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว” Mr. Andrews กล่าว
Punching Above Your Weight
ว่ากันว่าทุกอย่างล้วนนำมาซึ่งสิ่งใหม่เสมอ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของบริษัทฯ กับพันธมิตรในอุตสาหกรรมฯ ที่ต่างเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนกันและกันผ่านบริการในพื้นที่เขตปลอดอากร โดยหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดที่ Freightplus เคยให้บริการจัดการในประเทศไทยคือ การจัดการขนส่งเสากังหันลมขนาดยักษ์จำนวน 35 ต้น ให้แก่โครงการกังหันลมเทพารักษ์ของบริษัท General Electric (GE)
Mr. Andrews กล่าวว่า “เขตปลอดอากรถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราได้รับมอบสัญญาการจัดการโครงการขนส่งให้แก่ GE โดยเราได้ให้บริการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเกือบ 350 ตู้ มายังเขตปลอดอากรของเรา ซึ่งต้องใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าเป็นจำนวนมากและบริการต่างๆ ที่มีความพิเศษเฉพาะ อีกทั้ง เรายังได้ให้บริการขนส่งแบบครบวงจรสำหรับชิ้นส่วนทุกชิ้นไปยังพื้นที่โครงการตามที่ลูกค้ากำหนด ด้วยทีมงานผู้มีประสบการณ์ และความพร้อมของอาคารจัดเก็บสินค้าภายในเขตปลอดอากรของเราที่มีความเหมาะสมในทุกๆ ด้าน จึงทำให้เราสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทุกความต้องการ แม้ว่าบริษัทฯ ของเราจะเปรียบเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ แต่การที่เรามีพื้นที่เขตปลอดอาการคอยให้บริการ ก็ช่วยให้เราสามารถตอบสนองลูกค้าและประกอบรวมเป็นภาพใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์”
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงบริการขนส่งสินค้าโครงการโดยทั่วๆ ไป เนื่องจากใบพัดของกังหันลมเพียงหนึ่งตัวมีความยาวมากถึง 74 เมตร ด้วยความกว้างและขนาดอันใหญ่โตมโหฬารของตัวสินค้า จึงทำให้ประเด็นด้านความปลอดภัยเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญสูงสุด เพราะการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ขนาดยักษ์จำเป็นต้องใช้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์สินค้าโครงการโดยเฉพาะ Mr. Andrews กล่าวว่า “ณ ตอนนั้นเราจำเป็นต้องต่อสู้กับข้อจำกัดของเราเอง และโอกาสที่จะได้ทำหน้าที่จัดการโครงการอันแสนพิเศษนี้ แต่ด้วยความสามารถในการปฏิบัติการอันยอดเยี่ยมของเราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถให้บริการโครงการระดับยักษ์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งนั่นทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในทีมงานของเราเป็นอย่างมาก”
เมื่อพูดถึงโครงการจัดการขนส่งกังหันลม Mr. Mario Plaschke ผู้จัดการโครงการระดับสูง บริษัท General Electric (GE) กล่าวว่า “ทั้ง Mike และทีมงาน บริษัท Freightplus ก้าวเข้ามาในจังหวะที่เรากำลังประสบกับความท้าทายครั้งใหญ่และต้องการพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการก่อสร้างและจัดการกับความท้าทายของกำหนดการที่รีบเร่ง ด้วยประสบการณ์อันแข็งแกร่ง
ของ Freightplus รวมถึงเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่กว้างขวาง และชื่อเสียงอันโดดเด่นของบริษัทฯ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถจัดการทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้ พร้อมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องความล่าช้าที่เกิดขึ้น ช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของการขนส่งและการก่อสร้างโครงการกังหันลมพลังงานทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้อย่างไร้รอยต่อ เราจึงขอขอบคุณทีมงาน Freightplus ทุกคน สำหรับความทุ่มเทและความสำเร็จในครั้งนี้”
A Promising Future
หลังจากที่ Freightplus Thailand ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากการให้บริการจัดการโครงการขนาดใหญ่ ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการยอมรับและได้รับคำเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่มพันธมิตร Project Logistics Alliance (PLA) ซึ่งกำหนดให้แต่ละประเทศมีสมาชิกได้ไม่เกินสองบริษัท จึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งของบริษัทฯ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มอบความไว้วางใจและความเชื่อมั่นแก่ Freightplus Thailand ทั้งนี้ กลุ่มพันธมิตร PLA เป็นเครือข่ายผู้ให้บริการจัดการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ นั่นจึงแสดงให้เห็นว่า Freightplus Thailand เป็นทั้งผู้นำในอุตสาหกรรมฯ และพันธมิตรผู้ให้บริการที่พร้อมร่วมงานกับเครือข่ายทั่วโลก เพิ่มเติมจากเครือข่ายระดับโลกที่มีอยู่เดิมของ Freightplus ยิ่งไปกว่านั้น การได้รับการยอมรับในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงทักษะอันโดดเด่นของบริษัทฯ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการขนส่งสินค้าโครงการชั้นนำ
เราล้วนทราบดีว่า การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเฉพาะทางเป็นเรื่องที่ไม่ได้มาโดยง่าย แต่ด้วยประสบการณ์และความมุ่งมั่นอันกล้าแกร่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการเติบโตและความสำเร็จของกลยุทธ์ทางธุรกิจของ Freightplus ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเราถามถึงเป้าหมายในอนาคตของบริษัท Mr. Andrews ได้เปิดเผยว่า “การปฏิบัติการเขตปลอดอากรของเราดำเนินไปเป็นอย่างดี และเรายังมีลูกค้าที่ได้รับความพึงพอใจมาให้คำยืนยัน ปัจจุบัน เรากำลัง
เริ่มให้บริการติดตั้งเครื่องจักรกลมากขึ้น เช่นเดียวกับบริการอื่นๆ สำหรับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ เราให้บริการส่งมอบชิ้นส่วนและเครื่องจักรสำหรับสายการผลิต และยังรับหน้าที่ในการติดตั้งด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เรากำลังให้ความสนใจ เรารักงานทุกชิ้นที่เราทำและมุ่งมั่นที่จะให้บริการจัดการขนส่งสินค้าทุกประเภทที่มีความท้าทาย เราจะไม่ลงไปแข่งขันเพื่อ นำเสนอบริการที่ผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าเกือบทุกรายในประเทศกำลังแก่งแย่ง แต่เราจะเลือกเส้นทางที่มีผู้ให้บริการน้อยราย เพราะนั่นคือพื้นที่ที่ความเชี่ยวชาญของเราจะโดดเด่น เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน”
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่