Nestlé บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการโลจิสติกส์สำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยการใช้โซลูชัน ECO Delivery ของสายการเดินเรือ Maersk สำหรับตู้สินค้าทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ Maersk ให้บริการขนส่งในปี 2023 อีกทั้งยังมีตัวเลือกในการขยายข้อตกลงในการใช้โซลูชันนี้ต่อไปในปี 2024 และในอนาคต ซึ่งโซลูชันดังกล่าวช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งสินค้าทางทะเลลงได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม
โดยโซลูชัน ECO Delivery ช่วยให้ลูกค้าของ Maersk สามารถจัดการขนส่งสินค้าทางทะเลได้อย่างเต็มที่ด้วยเชื้อเพลิงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรอง เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่สองที่ผลิตจากวัตถุดิบตั้งต้นที่เป็นของเสีย ปัจจุบันเชื้อเพลิงเหล่านี้กำลังมีการนำมาใช้แทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิมกับเรือตู้สินค้าในกองเรือของ Maersk จะมีการยืนยันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวให้กับลูกค้าด้วยประกาศนียบัตร
ทั้งนี้ การที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งวิธีการที่ Nestlé สรรหา ผลิต และกระจายผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ข้อตกลงที่ Nestlé ได้ลงนามร่วมกับ Maersk จึงสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งผลดีต่ออัตราคาร์บอนฟุตปริ้นท์ของบริษัทฯ ได้โดยทันที
เป้าหมายของ Nestlé คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดลงให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) เป็นส่วนหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นั่นจึงทำให้ ECO Delivery เป็นโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวที่เกิดจากการขนส่งสินค้าทางทะเล ทั้งนี้ แบรนด์น้ำดื่ม Nestlé’ และ Nespresso ถือเป็นแบรนด์บุกเบิกสองแบรนด์ที่มีการใช้โซลูชัน ECO Delivery มาตั้งแต่ปี 2021
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่
