Maersk จับมือท่าเรือ King Abdullah พัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ หนุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

0
1087
Maersk Saudi Arabia

Maersk Saudi Arabia ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำ และท่าเรือ King Abdullah Port ในซาอุดิอาระเบีย ลงนามข้อตกลงก่อสร้างคลังสินค้า Maersk Integrated Logistics Hub เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแก่ผู้ส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ส่งออกในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยความร่วมมือในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายเพื่อร่วมยกระดับบริการและเทคโนโลยีของท่าเรือแห่งนี้

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในระยะสองกิโลเมตรจากลานวางตู้สินค้าของท่าเรือ King Abdullah Port และอยู่ติดกับเขตพิธีการศุลกากร ทั้งยังอยู่ห่างจากเมือง Yanbu ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศเพียง 200 กิโลเมตร จากที่แต่เดิมผู้ส่งออกในเมือง Yanbu จะต้องส่งสินค้าไปลงเรือที่ Jeddah ที่อยู่ห่างออกไป 350 กิโลเมตร นอกจากนี้ ผู้ส่งออกจะใช้เวลาในการดำเนินกระบวนการส่งออกสินค้า นับตั้งแต่ทำการจองพื้นที่ระวางสินค้าจนถึงโหลดสินค้าลงเรือเพียงหกถึงแปดวัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลาราว 14 ถึง 18 วัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ​แห่งใหม่นี้จึงมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ให้กับผู้ส่งออกลงได้อย่างมาก

โดยในสองปีแรกของการดำเนินงาน Maersk จะลงทุนพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าขนาด 100,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับปริมาณสินค้าของผู้ส่งออก ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และแตะระดับหนึ่งล้านตันต่อปีภายในสามปีข้างหน้า โดย Mr. Mohammad Shihab กรรมการผู้จัดการ บริษัท Maersk Saudi Arabia กล่าวว่า “การก่อตั้ง Maersk Integrated Logistics Hub ในท่าเรือ King Abdullah แห่งนี้ถือเป็นหลักชัยสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อมอบโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรแก่ลูกค้าในซาอุดิอาระเบีย ทั้งยังเป็นสิ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนการค้าของซาอุดิอาระเบียตลอดจนมอบโซลูชันที่หลากหลายและเหมาะกับความต้องการของลูกค้า เพื่อจัดการกับความท้าทายในซัพพลายเชนของพวกเขาอีกด้วย ทั้งนี้ การก่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์แห่งนี้ส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคโลจิสติกส์ของซาอุดิอาระเบีย ทั้งยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของนโยบาย Vision 2030 ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียที่ต้องการให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ เชื่อมต่อทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน และขับเคลื่อนดัชนีความสามารถด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index) ของราชอาณาจักรฯ จากอันดับ 49 สู่ 25 ของโลกอีกด้วย

อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้Gebrüder Weiss ขนส่งอุปกรณ์ในโครงการทดสอบภาคสนามสำหรับภารกิจดาวอังคารของ OeWF
บทความถัดไปT.S. Lines ฉลอง 20 ปีแห่งความสำเร็จ พร้อมผลักดันยุทธศาสตร์สู่อีกขั้นของการเติบโต