บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ประจำปี 2023 ภายใต้แนวคิด ‘365 Degree Collaboration’ เพื่อก้าวสู่ความเป็นบริษัทในกลุ่มหุ้นเติบโตของภาคอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ โดยตั้งเป้าการเติบโตอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15-20 เปอร์เซ็นต์ โดยคุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ ระบุว่า LEO พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยจะเร่งเจรจาปิดดีลการร่วมทุนเปิดกิจการและการลงทุนในกิจการทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผลักดันธุรกิจการขนส่งทางรถไฟและตัวแทนจัดหาสินค้าส่งไปยังประเทศจีนให้เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในรายได้หลักของบริษัทฯ และเตรียมจัดตั้งบริษัทขนส่งในรูปแบบโลจิสติกส์ที่มีความยั่งยืนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมขยายห่วงโซ่คุณค่าให้กับการบริการโลจิสติกส์ของ LEO โดนมีเป้าหมายสร้างรายได้ในกลุ่มธุรกิจใหม่ทั้งหมดให้ถึง 500 – 600 ล้านบาทภายในสามปี
โดยคุณเกตติวิทย์ เปิดเผยว่า ตั้งเป้าหมายประจำปี 2023 ให้ LEO เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวกระโดด โดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้า (Non Freight) และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45 เปอร์เซ็นต์ เช่น บริการให้เช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน (Self Storage), ลานตู้สินค้า, คลังสินค้าและศูนย์โลจิสติกส์ รวมถึงปฏิบัติการโลจิสติกส์ควบคุมอุณหภูมิ โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ เช่น การเปิด Self Storage สาขาที่สาม และพัฒนาโครงการคลังสินค้าและศูนย์โลจิสติกส์ร่วมกับ บริษัท เอชเค แอสเซท แมเนจเมนท์ การพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ร่วมกับบริษัท สหไทย เทอร์มินัล รวมถึงการเปิดบริการ Self Storage แห่งที่สี่ และลานตู้สินค้าแห่งที่สอง ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัทใหม่ และการขยายงานของทางบริษัทฯ จะทำให้รายได้ของธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า
นอกจากนี้ LEO ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและทำการตลาดการบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย – จีน แบบครบวงจร โดยเป็นการร่วมมือกับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท และบริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ ภายใต้ชื่อบริษัท ‘ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด’ และกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนอีกหนึ่งแห่งเพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งก็จะทำให้ LEO สามารถมอบบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนสำหรับฤดูการส่งออกผลไม้ปี 2023 ด้วยโครงสร้างราคาที่ได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ในด้านธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ LEO จะต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาร่วมกับทางวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด ให้เป็นธุรกิจใหม่ในอนาคตอันใกล้ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจตัวแทนการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ ‘ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด’ ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าผลไม้เข้ามาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะทุเรียน ทั้งนี้ LEO ต้องการให้รายได้จากภาคธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้า และธุรกิจนอกภาคโลจิสติกส์เข้ามาเสริมรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม
LEO ยังคงเดินหน้าเจรจาซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมทั้งกัมพูชา แคนาดา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในไตรมาสที่ 3/2023 ซึ่งโครงการควบรวมกิจการนี้จะสนับสนุนการเติบโตให้กับบริษัทฯ อย่างก้าวกระโดด
“การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจด้วยแนวความคิด 365 Degree Collaboration จะช่วยให้ LEO กลายเป็นบริษัทหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยนำจุดแข็งของพันธมิตรมาพัฒนาธุรกิจและผสานพลัง (Synergy) ร่วมกัน” คุณเกตติวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ LEO ในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (End-to-End Logistics Services Provider) มีแผนพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Logistics) ร่วมกับพันธมิตร เพื่อมอบบริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษหรือการสร้างขยะ มุ่งเน้นการลดมลพิษทางอากาศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสทางการค้าให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่