ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งของอาเซียน ด้วยโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งไม่เพียงเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับสินค้าของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเดินหน้าสู่ท่าเรือแห่งความยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

โครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,600 ไร่ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือตู้สินค้าเจ็ดท่า ท่าเทียบเรือรถยนต์ (Ro/Ro) หนึ่งท่า และท่าเทียบเรือสินค้าทั่วไปและตู้สินค้า หนึ่งท่า โดยเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้านทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี ส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ

นิตยสาร LM ฉบับนี้ ได้รับเกียรติจาก เรือโท ยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง มาร่วมพูดคุยถึงความคืบหน้าของโครงการหลังจากการดำเนินการก่อสร้างมาได้ระยะหนึ่ง รวมถึงมาตรการด้านความยั่งยืนที่ท่าเรือให้ความสำคัญ และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับการบริหารจัดการท่าเรือแห่งอนาคต

Construction Progress 

เรือโท ยุทธนา โมกขาว

ปัจจุบัน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 กำลังดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยการก่อสร้างแบ่งออกเป็นสี่ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่หนึ่งการก่อสร้างทางทะเล ส่วนที่สองการก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ส่วนที่สามการก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนที่สี่การจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สําหรับขนย้ายสินค้า ซึ่งการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนการ 

เรือโท ยุทธนา กล่าวว่า “กระบวนการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังยังคงดำเนินงานไปอย่างเป็นระบบ โดยในการก่อสร้างส่วนที่หนึ่งซึ่งเป็นการก่อสร้างทางทะเลมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความล่าช้ากว่าแผนการที่วางไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่การก่อสร้างในส่วนที่สองได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปบางส่วนแล้วบนพื้นที่ที่มีการถมทะเลไปแล้ว ขณะที่การก่อสร้างในส่วนที่สามและสี่อยู่ระหว่างการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) คาดว่าจะสามารถประกาศประกวดราคาได้ภายในต้นปี 2025”

“ตามแผนการแล้ว คาดว่าท่าเทียบเรือชุด F จะสามารถเปิดให้บริการเป็นลำดับแรกภายในปี 2027 หากท่าเทียบเรือ F เสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้านทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

Innovation and Technology

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มีความโดดเด่นคือการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการ โดยมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ (Smart Port) ที่ใช้เทคโนโลยี IoT และ AI ในการควบคุมกระบวนการขนส่งสินค้าเพื่อลดระยะเวลาการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังถูกนำมาใช้ในกระบวนการลำเลียงสินค้าและตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการขนส่งสินค้า

เรือโท ยุทธนา กล่าวว่า “ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ได้รับการออกแบบให้รองรับเทคโนโลยีท่าเรือสมัยใหม่หลายชนิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยมีการนำระบบยกและขนถ่ายตู้สินค้าอัตโนมัติมาใช้ในลานกองตู้สินค้า พร้อมด้วยระบบบริหารจัดการยานพาหนะและการใช้ยานพาหนะแบบไร้คนขับ (Automated Guided Vehicle: AGV) เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานและเพิ่มความแม่นยำในการขนส่ง นอกจากนี้ ยังได้วางแผนติดตั้งระบบ OCR สำหรับสแกนข้อมูลบนตู้สินค้าโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการบันทึกข้อมูล รวมถึงนำ ระบบ E-gate มาใช้ในการควบคุมการเข้า-ออกของรถบรรทุก และ ระบบ E-toll สำหรับจัดเก็บค่าธรรมเนียมยานพาหนะแบบอิเล็กทรอนิกส์”

“นอกเหนือจากเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติการแล้ว ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ยังมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการผ่านระบบ e-Port ที่ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงาน อีกทั้งยังรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการนำเข้า-ส่งออกสินค้า ทั้งในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) และ B2G (Business-to-Government) ผ่าน E-Logistics Platform เพื่อบูรณาการข้อมูลให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ”

Sustainability for the Expansion

นอกจากการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้งานแล้ว ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ท่าเรือยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญ จากรายงานของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้ ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 จึงมุ่งเน้นการพัฒนาให้เป็น ‘ท่าเรือสีเขียว’ (Green Port) ผ่านการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

เรือโท ยุทธนา กล่าวว่า “ในการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เรามีเป้าหมายสู่การเป็น ‘ท่าเรือสีเขียว’ ด้วยการใช้พลังงานสะอาดและระบบจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด”

ประการแรก เราให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดในกิจกรรมภายในท่าเรือ โดยปัจจุบันมีแผนติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้เป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานหลักและอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำพลังงานไฮโดรเจนมาใช้งานในอนาคต ประการที่สอง เราผลักดันให้ท่าเทียบเรือนำเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นเครนไฟฟ้า หรือรถบรรทุกไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ

“อีกประเด็นสำคัญ คือการส่งเสริมให้มีการใช้ระบบรางและเรือขนส่งสินค้าชายฝั่งมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการขนส่งทางถนน ซึ่งมีอัตราการปล่อยคาร์บอนสูงกว่ามาก นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

“ท้ายที่สุดนี้ เรายังผลักดันให้ผู้ประกอบการพัฒนาระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ท่าเรือสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม”

 Crafting the Future

ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการผสานเทคโนโลยีและความยั่งยืนเข้าด้วยกันอย่างสมดุล การพัฒนานี้จะช่วยเสริมศักยภาพของประเทศไทยในสนามการค้าระดับโลก และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยและภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้CEVA Logistics ขยายกองรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า 23 คันในยุโรป เดินหน้าเป้าหมายลดคาร์บอน
บทความถัดไปSITC จัดพิธีรับมอบเรือ M/V SITC YUANHE
Pichanon Paoumnuaywit
tech and history geek, who enjoys hunting and photographing dark skies and milky way