DHL Global Forwarding บริษัทผู้นำด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เล็งเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนของการขนส่งทางถนนข้ามพรมแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีการเติบโต 5.5 เปอร์เซนต์ ภายในปี 2021 จากแรงหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ผ่านการฟื้นตัวทางภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการกระจายตัวของซัพพลายเชนของบริษัทในภูมิภาค
Mr. Kelvin Leung ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท DHL Global Forwarding Asia Pacific กล่าวว่า “ความร่วมมือทางการค้าภายในเอเชียจะเติบโตอย่างแน่นแฟ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายลงของข้อจำกัดทางการค้าและมีการดำเนินตามมาตรการใหม่สำหรับการค้าระหว่างภูมิภาค เช่น ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ACTS) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศกลุ่มอาเซียน ที่พร้อมจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากผ่านการแพร่ระบาดของ COVID-19 นี้ไปได้”
ทั้งนี้ หนึ่งในการพัฒนาหลักทางการค้าระหว่างภูมิภาค ได้แก่ ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน หรือ ASEAN Customs Transit System (ACTS) ที่เริ่มขึ้นในปี 2020 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งและเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดนอาเซียนได้อย่างราบรื่น ผ่านมาตรฐานและการรับประกันที่ครอบคลุมทั้งอากรขาเข้าขาออกและภาษีตลอดการดำเนินงาน
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกที่คาดการณ์ว่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางการค้าในปี 2021 ส่งผลให้ตลาดการขนส่งสินค้าทางถนนของอาเซียน สามารถมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นกว่า 8 เปอร์เซนต์ ภายในปี 2020-2025 นอกจากนี้ การใช้จ่ายผ่านรูปแบบอีคอมเมิร์ซของผู้บริโภค และธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 70 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2027 ยังมีส่วนเข้ามาเสริมความต้องการของโซลูชันการขนส่งสินค้าแบบ door-to-door ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
Mr. Thomas Tieber ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท DHL Global Forwarding Southeast Asia กล่าวว่า “การขนส่งทางถนนกำลังมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นในการแก้ปัญหาการขนส่งระยะไกลระหว่างประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและยั่งยืน ตามที่เราได้เห็นในปีที่แล้ว อัตราค่าขนส่งทางอากาศและทางทะเลมีการผันผวนอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยโซลูชันการขนส่งทางถนน หรือการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้นำเสนอราคาที่ยั่งยืนยิ่งกว่า ควบคู่กับความสามารถในการขนส่ง และการเข้าถึงชายแดนที่ง่ายยิ่งขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ปัจจุบัน ผู้ใช้บริการหันมาเลือกใช้การขนส่งทางถนนเพิ่มมากขึ้นสำหรับการขนส่งสินค้าบางส่วนหรือทั้งหมดทั้งระยะใกล้และไกล เพราะการขนส่งทางถนนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าการขนส่งทางอากาศ ทั้งนี้ การขนส่งทางถนนที่ต่อเนื่องสนับสนุนการขนส่งทางอากาศ (air-road shipment) จาก Jakarta มายังกรุงเทพฯ ผ่านสิงคโปร์ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงครึ่งหนึ่ง พร้อมการประหยัดต้นทุน 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเที่ยวบินตรงผ่านการขนส่งทางอากาศเพียงอย่างเดียว ในขณะที่การขนส่งสินค้าทางถนนจากสิงคโปร์ ไปยังจีน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 83 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการขนส่งสินค้าทางอากาศ
“การขนส่งทางถนน กำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี เพื่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนที่มากขึ้น ผ่านการใช้เชื้อเพลิงที่ประหยัดพลังงานคาร์บอน โดยปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันจะผลักดันการเปลี่ยนแปลงในภาคการขนส่งสินค้าทางถนน และสร้างโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่จูงใจและยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต” Mr. Tieber กล่าวเสริม
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่