หากพูดถึงการขนส่งสินค้า หลายคนอาจมองเห็นเพียงการขนย้ายสิ่งของจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งด้วยยานพาหนะ
ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการโลจิสติกส์เท่านั้น
แท้จริงแล้ว เบื้องหลังการเดินทางของสินค้าหนึ่งชิ้นจากประเทศต้นทางไปสู่ประเทศปลายทาง คือการดำเนินตามกฎเกณฑ์ มาตรการ และข้อบังคับที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออกอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สินค้าเหล่านั้นสามารถขนส่งออกนอกประเทศ และนำเข้าสู่ประเทศจุดหมายได้อย่างราบรื่น
สำหรับประเทศที่มีมาตรการความปลอดภัยเข้มงวด กระบวนการดำเนินพิธีศุลกากรและดำเนินเอกสารเกี่ยวข้องกับความมั่นคงถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง หากเกิดความผิดพลาดในการดำเนินงานเพียงขั้นตอนเดียว ก็อาจสร้างปัญหาต่อเนื่องให้กับผู้ส่งสินค้าได้มากเกินคาดเดา ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากการขนส่งสินค้าที่ล่าช้า ค่าปรับจากหน่วยงานด้านความมั่นคง จนไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการ
LM มีโอกาสพูดคุยกับคุณอุมาวรรณ แหวนวิรุฬ ผู้จัดการฝ่ายเอกสารส่งออก และคุณสันทนา ชุมวิสูตร ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าอาวุโส บริษัท Kerry-Apex Thailand ผู้มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติการขนส่งสินค้าและการดำเนินเอกสารระหว่างประเทศกว่า 10 ปี มาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินเอกสารเพื่อนำเข้าสินค้าสู่ประเทศที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดสูงสุดอย่างสหรัฐอเมริกา
ความซับซ้อนที่เกิดจากความจำเป็น
สำหรับประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าปริมาณมาก การทราบถึงจำนวนสินค้าที่ไหลเข้าสู่ประเทศ ตลอดจนที่มาและแหล่งผลิตของสินค้านั้น ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดการนำเข้าสินค้าอย่างเป็นระบบ และค้นหาปัจจัยเสี่ยงของสินค้านั้นๆ เพื่อให้การนำเข้าสินค้าทุกชิ้นเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง
“เมื่อพูดถึงการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ ผู้ส่งสินค้าทุกรายจะต้องยื่นข้อมูลตามกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่หน่วยงานศุลกากรสหรัฐฯ หรือ US Customs and Border Protection (CBP เพื่ออำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นระบบ ประกอบด้วย Automated Manifest System (AMS) และ Importer Security Filing (ISF 10+2)” คุณอุมาวรรณกล่าว
“กระบวนการส่งข้อมูลทั้ง AMS และ ISF จะต้องดำเนินการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Data Interface: EDI โดย Kerry-Apex มี Global System ที่สามารถส่งข้อมูล EDI โดยตรงจากประเทศต้นทางไปยังศุลกากรสหรัฐฯ ทั้งบนระบบ AMS & ISF” คุณสันทนากล่าวเสริม
AMS และ ISF คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการส่งสินค้าไปยัง USA?
AMS หรือ Automated Manifest System คือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งระบุรายละเอียดของสินค้าเพื่อยื่นแก่ศุลกากรสหรัฐฯ โดยเปิดรับการส่งข้อมูล 48 ชั่วโมง ก่อนที่เรือจะเข้าท่าเรือสุดท้าย ในบริการขนส่งสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) หรือท่าเรือต้นทางในบริการขนส่งตรง (Direct Service) โดยตัวแทนผู้ส่งสินค้าต้องส่งข้อมูลภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเรือขนส่งสินค้าออกเดินทางจากท่าเรือต้นทางมายังท่าเรือปลายทางในสหรัฐฯ
ที่มาของมาตรการด้านความปลอดภัยในการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 หรือ 9/11 ส่งผลให้หน่วยงานความมั่นคงของศุลกากรสหรัฐฯ ออกมาตรการให้ผู้ส่งสินค้าสำแดงสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าข้ามพรมแดนผ่านสหรัฐฯ ไปยังประเทศที่สาม ด้วยการยื่นข้อมูลบนระบบ AMS โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ปี 2002 เป็นต้นมา
ข้อมูลที่ต้องระบุใน AMS
ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสินค้า
- หมายเลข House Bill of Lading และ Master Bill of Lading
- รหัส Standard Carrier Alpha Code (SCAC)
- พิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐฯ (HTSUS Code)
- ข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับสินค้าครอบคลุมถึง น้ำหนัก ขนาด จำนวน ประเภทสินค้า
- รหัสและประเภทของบรรจุภัณฑ์ชั้นนอกและชั้นใน
ข้อมูลเกี่ยวกับการขนส่งสินค้า
- ชื่อ ที่อยู่ ผู้นำเข้า-ออกสินค้า และประเทศที่ออกเอกสาร
- ชื่อ รหัสเรือขนส่งสินค้า ประเทศจดทะเบียนเรือ
- ชื่อท่าเรือต้นทาง และท่าเรือต่างประเทศที่สายการเดินเรือได้รับสิทธิ์เป็นผู้ถือครองสินค้า พร้อมเวลาเรือออก (ETD)
- ชื่อท่าเรือล่าสุดที่เรือขนส่งสินค้าเข้าเทียบท่าในต่างประเทศก่อนมาถึงท่าเรือสหรัฐฯ
- ชื่ท่าเรือเข้าเทียบท่าในสหรัฐฯ พร้อมวันที่เรือเข้าเทียบท่าท
- หมายเลขตู้สินค้าและซีลล็อคตู้สินค้า
หลังจากออกมาตรการ AMS ได้สี่ปี ในวันที่ 13 ตุลาคม ปี 2006 ศุลกากรสหรัฐฯ ได้ออกประกาศกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าทางทะเล Import Security Filling and Additional Carrier Requirements หรือที่เรียกว่าข้อเสนอ ISF 10+2 โดยผู้นำเข้าสินค้าจะต้องยื่นข้อมูลต่อศุลกากรสหรัฐฯ ให้เสร็จสิ้นอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนยกตู้สินค้าขึ้นบนเรือ ณ ท่าเทียบเรือถ่ายลำสินค้า (Transshipment) หรือท่าเรือต้นทางในบริการขนส่งตรง (Direct Service)
ข้อมูลที่ต้องระบุใน ISF 10+2
ISF 10 ประกอบด้วยองค์ประกอบข้อมูล 10 ส่วน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
- ชื่อและที่อยู่ผู้ผลิตสินค้า
- ชื่อและที่อยู่ผู้ขายสินค้า
- ชื่อและที่อยู่ผู้ซื้อสินค้า
- ชื่อและที่อยู่สำหรับจัดส่ง
- สถานที่บรรจุสินค้าเข้าตู้
- ชื่อผู้เปิดตู้พร้อมสถานที่เปิดตู้เพื่อกระจายสินค้า
- หมายเลขทะเบียน ผู้นำเข้า/หมายเลขประจำตัวผู้ลงทะเบียนการค้าต่างประเทศ
- พิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐฯ (HTSUS Code)
- หมายเลขผู้นำเข้าสินค้า ได้แก่ IRS, EIN, SNN หรือ CBP
- ประเทศที่ผลิตสินค้า
ISF 2 ประกอบด้วย ข้อมูล 2 ส่วนซึ่งเป็นความรับผิดชอบของสายการเดินเรือ
- แผนผังการจัดวางตู้สินค้าบนเรือพร้อมระบุตำแหน่งตู้สินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ
- สถานะตู้สินค้า
สำหรับการขนส่งสินค้าข้ามแดนสหรัฐฯ ไปยังประเทศที่สาม โดยแวะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสหรัฐฯ เพียงชั่วคราวและไม่ได้ถ่ายตู้สินค้าลงจากเรือ (Foreign remaining on board: FROB, Immediate Exportation: IE และ Transportation and Exportation: TE) ทางผู้ให้บริการ NVOCC จะต้องยื่นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ISF+5 ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบข้อมูล 5 ส่วนดังนี้
- ผู้จองระวางเรือ (Booking party)
- ท่าเรือยกตู้สินค้าลงจากเรือในปลายทางต่างประเทศ (Foreign port of unlading)
- ที่อยู่ปลายทางการขนส่ง (Place of delivery)
- ชื่อปลายทางผู้รับสินค้า (Ship to party)
- พิกัดอัตราศุลกากร (Commodity HTS Code)
ข้อแตกต่างระหว่าง AMS vs ISF
AMS เป็นเอกสารที่แสดงรายการข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสินค้าจากประเทศต่างๆ และการเดินทางของสินค้านั้นๆ ถือเป็นข้อมูลจำเป็นสำหรับศุลกากรสหรัฐฯ ในการบริหารจัดการสินค้านำเข้าสู่สหรัฐอเมริกา รวมถึงการสำแดงสินค้าให้เป็นไปอย่างลื่นไหลและถูกต้องตามมาตรการการค้าที่กำหนด
ขณะที่ ISF เป็นเอกสารที่เน้นการระบุข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการนำเข้าสินค้า โดยกำหนดให้ตัวแทนขนส่งสินค้าแสดงข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของสินค้าโดยละเอียด รวมถึงสายการเดินเรือที่ต้องแสดงข้อมูลเกี่ยวกับยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง เพื่อให้ผู้มีอำนาจตรวจการสามารถพิจารณาปัจจัยเสี่ยงของสินค้าที่นำเข้าและจัดการตามมาตรการความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับภัยจากการก่อการร้าย
การยื่น AMS/ISF ที่ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดสำคัญอย่างไร?
“หากยื่น AMS ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ หรือเลยกำหนดเวลา จะเกิดค่าปรับอย่างน้อย 5,000 เหรียญสหรัฐ หรือหากเปลี่ยนแปลงข้อมูลประเภทสินค้า ชื่อผู้ส่งออก ชื่อผู้รับสินค้า ก็อาจมีค่าปรับเพิ่มอีก 5,000 เหรียญสหรัฐ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการแก้ไขข้อมูล ผลกระทบเหล่านี้จะทำให้การขนส่งสินค้าล่าช้า ยิ่งไปกว่านั้น กรณีนำเข้าตู้สินค้า LCL หากผู้ประกอบการเจ้าใดเจ้าหนึ่งยื่นข้อมูลไม่ครบถ้วน จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าที่ใช้ตู้สินค้าเดียวกันด้วย” คุณอุมาวรรณกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ตัวแทนผู้ส่งสินค้าหลายรายจึงนำเสนอบริการดำเนินเอกสารและพิธีศุลกากรให้แก่ผู้ส่งสินค้าอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าจะเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างราบรื่นและปลอดภัย ภายใต้การดูแลปฏิบัติการโดยผู้เชี่ยวชาญ
“Kerry-Apex Thailand มีประสบการณ์ขนส่งสินค้าสหรัฐฯ มากว่า 10 ปี และมีความเชี่ยวชาญด้านการดำเนินพิธีศุลกากรและดำเนินการตามกฎเกณฑ์การขนส่งต่างๆ เมื่อส่งมอบอำนาจการยื่นข้อมูลต่อศุลกากรสหรัฐฯ ให้เราดูแลรับผิดชอบ ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าการนำเข้าสินค้าในท่าเรือปลายทางจะเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ว่าจะส่งสินค้าแบบ FCL หรือ LCL”
คุณสันทนากล่าว
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่